อุดมคติ

A สิงห์คำรณ๒๓

เป็นร้อยแก้วหน้าหนึ่งในหนังสือ สิงห์คำรณ เมื่อเกือบ ๕๐ ปีมาแล้ว จำไม่ได้ว่าผู้ใดเขียน รู้แต่ว่า จนบัดนี้ สภาพการณ์ไม่ได้ดีขึ้นไปกว่าเดิมเท่าไรเลย มีปัจจัยหลายประการ ที่ทำให้ประเทศไทยเราย่ำเท้าอยู่กับที่ หรือซอยเท้าถี่อยู่เป็นบางครั้ง แต่ด้วยความที่ประเทศเราเป็นดินแดนแห่งสุวรรณภูมิ ในน้ามีปลา ในนามีข้าว ใครใคร่ค้าม้า ค้า ใครใครค้าช้าง ค้า หากินกันอย่างขอไปที กินทิ้งกินขว้าง ก็ยังมีเหลือมาถึงลูกหลานในปัจจุบัน แต่ลูกหลานส่วนหนึ่ง ก็ดันไปพอใจกับสิ่งที่จับต้องไม่ได้ กินไม่อิ่ม มีแต่ความสนุก สุขจอมปลอมชั่วครั้งคราว ที่เป็นวิวัฒนาการมาจากต่างประเทศ เอาสิ่งที่ทำให้อิ่มท้องไปแลกมา ด้วยหยาดเหงื่อ แรงกาย ทุกวันไป จนต้องอยู่ด้วยรายได้เพียง เดือนชนเดือน ผู้ฉวยโอกาสได้ มีเพิ่มพูนขึ้น ผู้หลงงมงาย ย่ำเท้าอยู่กับที่ หรือต่ำเตี้ยลง ผันตัวจากเกษตรกร เข้ามาขายแรงงาน ในเมืองอุตสาหกรรมและพาณิชย์ คงเหลือคนแก่และนายทุนที่ดิน ทำการเกษตร ซึ่งนับวันนายทุนจะดูดกลืนผืนดินจากบรรพบุรุษไปเพิ่มพูนให้ตนเองมากยิ่งขึ้น หมู่ชนที่เริ่มรับรู้ความไม่เป็นธรรม รอคอยอยู่ทุกขณะ รอคอยรัฐและผู้ปกครองที่เป็นฝ่ายประชาชน กลุ่มมากแต่ยากไร้ ให้ได้รับสิ่งที่ดีขึ้น เพิ่มโอกาสแห่งการศึกษา เข่นฆ่าบรรดาสิ่งลวงล่อและอบายมุข ให้ลดน้อยลงหรือหมดสิ้นไป ขจัดนายทุนที่ผูกขาด ข้าราชการทุจริต ส่งเสริมชีวิตที่ธรรมดา มีพอกิน พออยู่ ไม่ฟุ้งเฟ้อ เห่อดารา บ้ารถหรูราคาแพง แข่งกันได้ยศ ลาภ สรรเสริญ จอมปลอม หวังว่าจะมีความเท่าเทียมกันในสิทธิ และกฎหมายเดียวกัน ไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ ศาสนา และเป็นศาสนาที่ไม่งมงาย ไม่ทำร้ายผู้อยู่ในศาสนาอื่น ไม่มุ่งหวังความยิ่งใหญ่ ไม่ส่งเสริมความโง่เขลา และเกียจคร้าน เป็นศาสนาที่คนทั้งโลกศรัทธาด้วย เหตุและผล ไม่ต้องอ้อนวอน

ช่วงชีวิตเรา ที่สำคัญ เริ่มต้นด้วยการเดินขบวนเรียกร้อง ขจัดความไม่ถูกต้อง ในบ้านเมือง เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราก็มีการชุมนุมกันครั้งใหญ่เหมือนกัน ซึ่งตามมาด้วยการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก แล้วก็เปิดโอกาสให้ทหารเข้ามายึดอำนาจการปกครองประเทศไป ด้วยข้ออ้างว่า ป้องกันไม่ให้ประชาชนทั้งสองฝ่ายยกกำลังเข้าทำร้ายกัน จังหวะนั้นก็เป็นเวลาที่เกิดความอ่อนล้าของประชาชนทั้งสองฝ่ายอยู่พอดี พร้อมที่จะจบการชุมนุม แม้จะไม่ได้ปรารถนาผลที่จะเกิดขึ้นมาก็ตาม แต่ด้วยความที่เอ่ยกันว่า บ้านเมืองบอบช้ำมามากแล้ว จึงยอมที่จะแยกย้ายกันกลับบ้าน ไม่ได้รับชัยชนะกันทั้งสองฝ่าย แต่ก็ไม่ได้คิดว่ามี ตาอยู่ เข้ามาแทน หวังแต่ว่าให้บ้านเมืองสงบเสียที บ้างก็โล่งไปเพราะใช้จ่ายเงินทองร่อยหรอลงไปมากแล้ว ทุนที่มีมาส่งเสริมการชุมนุม เริ่มลดลง นั่นก็พร้อมที่ เวลาของการเริ่มต้นกันใหม่ ในรูปแบบที่ ผู้ใฝ่ด้านวิชาการเสรี ไม่พอใจเท่าใดนัก เนื่องจากยังอยากที่จะมีการเลือกตั้ง ตามระบอบประชาธิปไตยอยู่

ย้อนไปดูประวัติศาสตร์ ช่วงแรกของเรา น่าจะเห็นได้ว่า มันเป็นเหมือนการวนกลับมาอีกครั้ง หลังเหตุการณ์วันที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๙ นับแต่นั้นเป็นต้นมา ไม่มีพลังของนักศึกษาที่ยิ่งใหญ ่เทียบเท่า เกิดขึ้นอีก แม้ในปี พ.ศ.๒๕๓๕ ก็เป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ ที่นำด้วยชนชั้นทำงาน ที่เคยผ่านเหตุการณ์ ตุลาคม ทั้งปี ๑๖ และ ๑๙ มาแล้ว

มองเห็นความเหมือนกันไหมครับ ประวัติศาสตร์ย้อนมา ย่ำเท้า แต่กลวิธีของคนกำลังจะเปลี่ยนไป พลังของสื่อในมือถือ เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญ กว้างไกลและรวดเร็วกว่าการร่อนจักรยานยนต์บอกกัน ในตอนเผา สน.นางเลิ้ง และพลับพลาชัย มากมายนัก ที่เหมือนเดิมคือ มันประกอบไปด้วย เรื่องจริง และเรื่องเท็จ ที่ประโคมให้ผู้คนหลงเชื่อ และคล้อยตาม มีการกล่าวหากันว่า โง่ ใส่กัน จนกลายเป็น โง่ กันทั้งสอง

เพื่อนที่มีข้อมูลเพิ่มเติมที่ละเอียดกว่า และอยากจะแย้งในบางจุด ก็ยินดีครับ แต่โปรดพิจารณาด้วยว่า ผมเขียนขึ้นมาด้วยความเป็นกลางจริงๆ ไม่งั้นคงไม่กล้าใช้คำว่า โง่ กันทั้งสอง

ยังมีต่อ

Published by มนตรี สีตะบุษป์

เข้าศึกษาที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ.๒๕๑๓ และจบการศึกษาในปี พ.ศ.๒๕๑๗ สอบเข้ารับราชการตำรวจ ทำงานหลายแห่งหลายหน้าที่ จนลาออกในปี พ.ศ.๒๕๔๓

ใส่ความเห็น

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.